วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2566

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2558

หุ้นทำเงินให้เราได้อย่างไร?



ในยุคสมัยนี้คนรุ่นใหม่ๆเริ่มจะหันมาสนใจการเล่นหุ้น ลงทุนในหุ้น โดยฟังจากข่าว บทความ หรือฟังเล่าต่อๆมาว่าเล่นหุ้นแล้วจะรวยได้กำไร คงจะมีคำถามสงสัยคาใจอยู่ไม่น้อยว่าแล้วไอ้การเล่นหุ้นนี่เล่นอย่างไรทำกำไร ทำเงินให้เราได้อย่างไรกันแน่

โดยหลักแล้วการเล่นหุ้นจะทำกำไรให้เราได้ 2 แบบคือ

1.ซื้อถูกขายแพง - ง่ายๆตามเล่นกันตามหลักการส่วนต่างของราคา ซื้อของถูกแล้วมาขายในราคาที่แพงกว่า เรียกได้ว่าเป็นพวกนักเล่นหุ้นแบบ เก็งกำไร ให้คุณจิตนาการว่าคุณเป็นพ่อค้ารับของมาแล้วขายในราคาที่แพงกว่าเดิม คราวนี้มองว่าหุ้นเป็นสินค้า ราคาขึ้นลงทุกวัน หากจับถูกเวลาและปล่อยขายในราคาที่ดีกว่าก็สร้างกำไรได้ไม่น้อย ซึ่งสินค้าหุ้นตัวนี้ไม่มีเน่าเสีย ไม่มีบูด ไม่มีหมดอายุ (ยกเว้นบริษัทล้มละลาย ซึ่งเป็นไปได้ยากมากสำหรับบริษัทระดับมหาชน) เพราะฉะนั้นหากคุณๆมีเลือดพ่อค้าอยู่ในตัวแล้วละก็ลองมาซื้อขายในตลาดหุ้นดูหน่อยก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย

ภาพตัวอย่างการสร้างกำไรจากหุ้นโดยลงทุนเงิน 50,000 บาท
ซื้อสินค้า(หุ้น) BBL ณ ราคา 178 และขายที่ราคา 188 กำไร 2,760 (ซื้อถูกขายแพง)



2.รับปันผล - การรับปันผลนี้ส่วนคนส่วนใหญ่จะเลือกบริษัทดีดีและถือยาว ไม่สนใจว่าราคาจะขึ้นหรือตกเน้นถือยาวกินปันผลเรื่อยๆซึ่งก็มีหลายๆบริษัทให้ปันผลดีงามไม่ว่าจะ 5%,6%,7% หรืออาจถึง 10% ต่อปีซึ่งหากเทียบกับการฝากธนาคารกลับได้แค่ 2.75% ต่อปี(ฝากประจำ) ซึ่งต่างกันเท่าตัว ทั้งที่หลักการเหมือนกันคือเอาเงินไปฝาก กับเอาเงินไปซื้อหุ้น หลายคนอาจแย้งว่าฝากประจำเวลาต้องใช้เงินถอนง่ายกว่า ซึ่งถ้ามองกลับไปยังหุ้น ถ้าคุณลือกถูกตัวและเข้าถูกเวลา พอร์ตคุณยากมากที่จะติดลบนั่นคือสามารถขายหุ้นทิ้งรับเงินทันทีได้เช่นกันและยังอาจจะได้กำไรอีกต่อจากส่วนต่างราคาดังเช่นวิธีซื้อถูกขายแพงอีกด้วย


และนี่คือ 2 วิธีหลักๆในการทำกำไรจากหุ้นแต่ขอให้จำไว้ 1 อย่างการลงทุนมีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงนั่นสามารถลดลงได้ด้วยข้อมูลและความรู้ของคุณเอง
Read More

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558

รู้จักตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (MAI)



เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะรู้จักตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กันดีอยู่แล้วบทความนี้จะมาแนะนำทำความรู้จักกับอีกตลาดหนี่งนั่นก็คือตลาด เอ็ม เอ ไอ (MAI)

ตลาด เอ็ม เอ ไอ (ซึ่งต่อไปนี้ขอเรียกย่อว่าตลาด MAI) นั้นถูกจัดตั้งเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2544 ซึ่งถือว่าไม่นานเลยหากเทียบกับตลาด SET ที่เปิดตั้งแต่มี 2518 โดยจุดประสงค์นั้นก็คือการทำหน้าที่เป็นตลาดทุนโดยมีหลักการทั่วไปเหมือนตลาด SET ทุกอย่างโดยความแตกต่างคือจะเน้นไปที่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเนื่องจากว่า ตลาด SET นั้นมีกฏเกณฑ์ที่เข้มงวด (บริษัทที่จะเข้าไปใน ตลาด SET ได้นั้นต้องขนาดใหญ่ ทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 300 ล้าน พร้อมกับมีหลักเกณฑ์, ข้อกำหนดเยอะแยะและยุ่งยากมาก)

ดั้งนั้นเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึง SMEs ได้มีโอกาสระดมทุนจึงได้มีการก่อตั้งตลาด MAI ขึ้นมาโดย ลดผ่อนกฏเกณฑ์ต่างๆลงและทุนจดทะเบียนที่ลดเหลือแค่ 40 ล้าน

สิ่งที่น่าสนใจของตลาด MAI นั่นคือราคาหุ้นส่วนใหญ่จะต่ำ (ส่วนใหญ่จะไม่เกิน 10 บาทต่อหุ้นแลอีกหลายๆตัวที่ราคาต่ำบาท-บาทกว่าๆ) ดังนั้นหากจับหุ้นได้ถูกตัว กิจการรุ่งเรืองและเติบโตได้อย่างดีการจะได้กำไรแบบก้าวกระโดดก็ไม่ได้ยากเกินไปเลย แต่ข้อดีนั้นก็แลกมาด้วยความเสี่ยงคือจำนวนการซื้อขายอาจจะไม่มาก บางทีราคาอาจจะนิ่งนาน ไม่เหมือนตลาด SET ที่คึกคัก และมีความมั่นคงที่ต่ำกว่าบริษัทขนาดใหญ่จากตลาด SET นั่นเอง

ภาพของหุ้นกลุ่มอสังหาของตลาด MAI สังเกตว่าหุ้นราคาเกิน 10 มีแค่ตัวเดียว

(ภาพจาก http://www.mai.or.th/mai/sectorquotation.do?locale=th_TH)

Read More

สอนเล่นหุ้นออนไลน์ (2) วิธีใช้ Streaming Pro



ต่อจากบทความที่แล้วคือ สอนเล่นหุ้นออนไลน์ (1) เมื่อเปิดบัญชีจนสามารถเข้า Streaming Pro ได้แล้วก็มาดูวิธีการใช้ Streaming Pro กันครับ

Streaming Pro ก็คือโปรแกรมสำหรับการเทรดหุ้นออนไลน์นั่นเอง โดยจะสอนการใช้ด้วย Clip บน Youtube เพื่อให้เห็นภาพชัดและเข้าใจง่ายขึ้นพร้อมแล้วไปดูกันได้เลย


(เพื่อความคมชัด สามารถกดขยายและดูแบบ 720HD ได้ครับ )


Read More

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558

รู้จักหุ้นบลูชิพ (Blue-Chip)


หุ้นบลูชิพ (Blue-chip) คำนี้มีที่มาจาก บ่อนการพนันในวงการพนันคาสิโน เหรียญฟ้าหรือ Blue-chip คือเหรียญที่มีมูลค่ามากที่สุด ราคาแพงที่สุด หากนำมาเปรียบเทียบกับหุ้นก็เหมือนกับหุ้นชั้นดีที่แข็งแกร่งมากๆนั่นเอง

หุ้น Blue-chip มีหลายความหมายหลายนิยามแต่จะมีจุดร่วมที่เหมือนกันได้แก่
  1. เป็นหุ้นบริษัทชั้นดี มั่นคง 
  2. บริษัทเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง
  3. เป็นผู้นำตลาด
  4. มีความสามารถในการแข่งขันสูง
  5. สถานะทางการเงินมั่นคง
  6. เติบโตอย่างต่อเนื่อง
  7. รักษาผลกำไรได้ในทุกช่วงเศรษฐกิจ
  8. มีการปันผลอย่างสม่ำเสมอ
  9. ผู้บริหารมีหลักธรรมาภิบาล
  10. ส่วนใหญ่จะอยู่ใน SET 50
ตัวอย่างหุ้นบลูชิพในไทยเช่น PTT , SCC , CPF เป็นต้น

ข้อดีของการเข้าซื้อหุ้นบลูชิพคือเราไม่จำเป็นจะต้องนั่งเฝ้าหน้าจอหรือติดตามราคาตลาดตลอดเวลาเนื่องจากหุ้นบลูชิพส่วนใหญ่แล้วราคาจะมั่นคงไม่ค่อยขยับหวือหวามาก ถึงมีข่าวร้ายมีการเทขายจนราคาลงหนัก แต่หากหุ้นตัวนั้นยังคงมีพื้นฐานที่ดีราคามันก็จะย้อนกลับมาตามพื้นฐานอย่างแน่นอน

ฟังดูแล้วเป็นเหมือนเป็นหุ้นในฝันของนักลงทุนแนวเน้นคุณค่า (VI) เลยทีเดียว แต่ข้อเสียก็มีเช่นกัน
  1. ราคาหุ้นสูง เนื่องจากหุ้นดีคนต้องการเยอะราคาก็จะสูงตามหลัก Deman-Supply
  2. การสวิงราคาไม่ค่อยหวือหวาไม่เหมาะกับนักลงทุนแบบเก็งกำไร
สิ่งสำคัญสำหรับการเข้าซื้อหุ้นบลูชิพนั่นคือเราต้องมองมูลค่าที่แท้จริงให้ออก ไม่ใช่มองแต่ว่าหุ้นนี้ดีแล้วซื้ออย่างเดียวโดยไม่มองว่าราคานี้แพงเกินไปหรือเปล่าเพราะถึงแม้จะบอกว่าเป็นหุ้นดีเพียงใดหากซื้อผิดราคาก็ดอยยาวๆได้เหมือนกันครับ
Read More

About Me

ติดต่อเรา

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

Popular Posts

Designed ByBlogger Templates